Post Archive by Month: February,2023

เทคนิคเปลี่ยนสายงานไปสายไอที

เทคนิคเปลี่ยนสายงานไปสายไอที ถึงแม้ว่าคุณไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสายงานนี้มาก่อน แต่ยังอยากเปลี่ยนสายงานก็อย่าเพิ่งท้อใจไป เพราะการเปลี่ยนสายงานไม่มีคำว่าสายเกินไป หากคุณพร้อมที่จะเรียนรู้และทำงานหนัก คุณก็สามารถสร้างเส้นทางสายอาชีพที่ดีได้ วันนี้เรามาพร้อมกับบทความดี ๆ เกี่ยวกับเคล็ดลับการเปลี่ยนสายงานมาสายไอทีให้คุณได้อ่านกัน วิธีการเข้าสู้เส้นทางสายอาชีพไอที (แม้ไม่มีประสบการณ์การทำงานด้านไอทีมาก่อน) 1. เน้นทักษะที่เปลี่ยนถ่ายได้ ก่อนอื่นคุณควรจะสำรวจตัวเองก่อนว่ามีทักษะไหนที่เป็นจุดแข็งของคุณบ้าง การไม่มีประสบการณ์ด้านไอทีไม่จำเป็นต้องเป็นจุดอ่อนเสมอไป ดังนั้นคุณควรเน้นจุดแข็งที่เป็นทักษะด้านต่าง ๆ บางคนที่เปลี่ยนสายงานหรือเปลี่ยนแวดวงธุรกิจอาจจะทำให้คุณมีทักษะบางอย่างที่สามารถนำมาปรับใช้กับสายงานด้านไอทีได้เพราะงานด้านเทคโนโลยีในบางส่วนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านเทคโนโลยีเสมอไป บริษัทไอทีบางแห่งอาจจะต้องการพนักงานขายที่มีความสามารถด้านการสื่อสาร หรืออาจจะต้องการพนักงานที่มีความรู้ด้านการเงินที่มาพร้อมกับความสามารถด้านการจัดการโครงการ เทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจในปัจจุบัน จนทำให้แทบทุกธุรกิจจำเป็นต้องมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงอาจจะมองหาผู้ที่ไม่ได้มีประสบการณ์ด้านไอทีมาโดยตรง แต่เป็นผู้ที่ทักษะด้านอื่นแล้วสามารถนำมาปรับใช้ให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ มีทักษะความสามารถเชิงสมรรถนะหลากหลายประเภทที่จำเป็นสำหรับการทำงานด้านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านการแก้ปัญหา และทักษะด้านการลงรายละเอียดก็เป็นสิ่งผู้ประกอบการกำลังมองหา เพราะธุรกิจหลาย ๆ ด้านต้องมีการเสนอทางแก้ปัญหาให้กับลูกค้า นอกจากนี้ยังมีทักษะด้านการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นที่เป็นสิ่งจำเป็น เพราะถึงแม้เทคโนโลยีจะก้าวหน้า แต่ก็ยังต้องมีคนที่ช่วยทำให้ผู้คนส่วนใหญ่เข้าใจและเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น ทั้งยังต้องช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าอีกด้วย ทักษะความสามารถเชิงสมรรถนะเหล่านี้สามารถเรียนรู้เทคนิคด้านเทคโนโลยีได้เพิ่มเติมเช่นกัน เช่น คนที่มีพื้นฐานด้านการออกแบบ อาจจะเรียนเกี่ยวกับ ประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ หรือ User Experience (UX) ในขณะที่คนที่มีพื้นฐานด้านการขาย และการตลาด ก็อาจจะมาเรียนรู้ด้านระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ และการตลาดดิจิทัลเพิ่มเติม สำหรับคนที่มีประสบการณ์ด้านการเงินมาก็ยังสามารถเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีทางด้านการเงินหรือการวิเคราะห์ข้อมูลได้อีกด้วย 2. เรียนรู้ด้านเทคนิคเพิ่มเติม หากคุณต้องการทำงานในสายงานด้านเทคโนโลยี การมีความรู้พื้นฐานก็เป็นเรื่องสำคัญ การเรียนรู้เทคนิคต่าง ๆ เช่นการเขียนโค้ดจะช่วยให้คุณนำความรู้และทักษะที่คุณมีไปประยุกต์ใช้กับโลกดิจิทัลได้ และหากคุณมีความชำนาญด้านการใช้ซอฟต์แวร์ หรือระบบบางตัวก็จะช่วยทำให้คุณมีจุดดแข็งมากขึ้น ข้อดีของการเรียนรู้ในปัจจุบัน คือ คุณไม่จำเป็นต้องกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยถึง

Continue reading

การวิเคราะห์ SWOT Analysis เพื่อพัฒนาตนเอง

การวิเคราะห์ SWOT Analysis เพื่อพัฒนาตนเอง ทำความรู้จัก SWOT Analysis สวอทเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์สำหรับการวางแผนกลยุทธ์เบื้องต้น สามารถใช้ได้ทั้งภายในและภายนอกบริษัท โดยสามารถวิเคราะห์ได้ทั้งสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมไปถึงการวางแผนธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต ซึ่งประโยชน์คือจะช่วยแก้ไขปัญหาและความลดเสี่ยงที่อาจเกิดผลเสียต่อบริษัท แถมยังเป็นตัวช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่นอีกด้วย SWOT ประกอบด้วยอะไรบ้าง S – Strength (จุดแข็ง) หมายถึง เรามีข้อดีในด้านใดบ้างที่สามารถดึงขึ้นมาเป็นจุดแข็งของตนเอง โดยสามารถวิเคราะห์ถึงทักษะและความสามารถของเราว่าโดดเด่นทางด้านไหน อีกทั้งยังควรหาวิธีในการพัฒนาตนเอง เพื่อนำไปสู่การฝึกฝนทักษะของตลอดเวลา ซึ่งนี่จะเป็นตัวช่วยในการเสริมศักยภาพของเราให้แข็งแกร่งอยู่เสมอ W – Weakness (จุดอ่อน) ในส่วนนี้ให้เราลองมาหาจุดอ่อนในตัวเอง ว่ามีข้อด้อยตรงไหนบ้าง รวมไปถึงสิ่งที่เราไม่ถนัด ไม่ชอบ หรือทำได้ไม่ดีนัก เพื่อหาหนทางนำไปสู่การปรับปรุง แก้ไข ยาวไปจนถึงขั้นตอนของการพัฒนาตนเอง เพื่อรีบขจัดจุดอ่อนให้ตัวเองจุดนั้นออกไปให้เร็วที่สุด O – Opportunities (โอกาส) ในส่วนนี้ถือเป็นปัจจัยจากสภาพแวดล้อมภายนอก ที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญให้ธุรกิจหรือการทำงานมุ่งสู่เป้าหมายที่วางไว้ และช่วยส่งเสริมการพัฒนาตัวเองให้เปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพแบบอัดแน่น เพราะฉะนั้นหากมีโอกาสเข้ามาหาเราแล้ว เราจึงควรรีบคว้าไว้ T – Threats (อุปสรรค) อีกหนึ่งปัจจัยภายนอกที่ต้องผ่านการวิเคราะห์เช่นกัน เพราะหนทางสู่ความสำเร็จมักไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งอุปสรรคสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ รวมไปถึงความเสี่ยงต่างๆ

Continue reading

เหตุผลที่คนอยากออกจากงาน

เหตุผลที่คนอยากออกจากงาน 1. โอกาสในการเติบโตในองค์กรน้อย แน่นอนว่าสำหรับคนทำงานนั้น การเจริญเติบโตในหน้าที่การงานคือเป้าหมายสำคัญ เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณผ่านประสบการณ์มายาวนานได้รับการฝึกฝน ขัดเกลาเทคนิคการทำงานกับองค์กรนั้น ๆ มานานแค่ไหน แต่หลายคนประสบปัญหาทำงานมานานหลายปี แต่ต้องย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหนเสียที ซึ่งบ้างครั้งอาจจะเป็นเพราะตำแหน่งที่โตกว่ายังไม่ว่างทำให้คุณต้องอยู่ในตำแหน่งเดิมนานเท่ากับอายุงาน หรือองค์กรอาจจะมองหาคนจากภายนอกบริษัทมาแทนตำแหน่งที่สูงกว่าคุณ เพราะต้องการแนวความคิดใหม่ ๆ ซึ่งตรงนี้ทำให้พนักงานมองว่าการออกไปหาโอกาสในที่ทำงานใหม่น่าจะตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้ดีกว่า 2. ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายไม่ราบรื่น สำหรับโลกแห่งการทำงานนั้น การทำงานร่วมกันเป็นทีมถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้ทีมประสบความสำเร็จ แต่หากคนในทีมไม่สมัครสามัคคีกันย่อมทำให้เกิดรอยร้าว และนำไปสู่ความไม่เข้าใจกันในที่สุดส่งผลให้งานที่ออกมามีปัญหา พนักงานหลายคนยอมรับว่าหากความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานไม่ราบรื่น เช่น ทัศนคติไม่ตรงกัน มีปัญหาการเมืองภายใน จะส่งผลให้การสื่อสารขณะทำงานร่วมกันมีปัญหา และอาจจะส่งผลให้ทำงานผิดพลาดได้ซึ่งทำให้พวกเขาอึดอัดใจไม่น้อยเพื่อต้องเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์ที่อึมครึมกับเพื่อนร่วมงาน เฉกเช่นเดียวกันกับพนักงานที่รู้สึกว่าความสัมพันธ์กับหัวหน้างานไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายไม่ปลื้มผลงาน เจ้านายลำเอียง หรือเจ้านายเลือกที่รักมักที่ชัง เพราะพวกเขาเล็งเห็นว่าหากมีปัญหากับหัวหน้างานอาจจะส่งผลให้ไม่ได้รับการโปรโมท ไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือน หรืออาจจะทำให้รู้สึกอึดอัดใจที่จะต้องทำงานด้วย 3. ได้รับการปรับเงินเดือนแต่ไม่เพียงพอ พนักงานหลายคนลาออกด้วยเหตุผลที่ว่า ได้รับการปรับขึ้นเงินเดือนจำนวนน้อยเกินไป ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลมาจากอัตราค่าครองชีพปัจจุบันนั้นสูงขึ้นมาก แต่บางบริษัทมีเกณฑ์การปรับขึ้นเงินเดือนที่สวนทางกับอัตราเงินเฟ้อทำให้พนักงานหมดกำลังใจในการทำงาน เพราะแม้ว่าจะได้ปรับขึ้นเงินเดือนมากกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่สามารถใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้เพียงพอ หรือสามารถใช้จ่ายหนี้สินได้ ดังนั้นการมองหางานใหม่ที่ได้เงินเดือนมากกว่าคือทางออกของพวกเขา 4. ระบบการทำงานไม่เอื้อให้งานที่ออกมามีประสิทธิภาพเท่าที่ควร พนักงานโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวรุ่นใหม่จะไม่ค่อยชอบระบบการทำงานที่ล้าหลัง หรือการทำงานที่ต้องผ่านกระบวนการอนุมัติหลายขั้นตอน เพราะพวกเขามองว่าเป็นการทำงานที่ใช้เวลานาน กว่าจะส่งงานผ่าน กว่าจะแก้ไขสำเร็จ กว่างานจะออกมาทำให้พวกเขาต้องใช้กำลังกายกำลังสมองมากกว่าที่ควรจะเป็น ดังนั้นหากเลือกได้พวกเขาจะมองหาองค์กรที่มีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ หรือมีการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้กับเนื้องานเพื่อให้งานที่ออกมามีประสิทธิภาพมากกว่า 5. ได้รับมอบหมายงานที่ไม่ถนัด คนทำงานหลายคนประสบปัญหาเรียนจบอีกอย่าง แต่ต้องมาทำงานอีกอย่างที่พวกเขาไม่ถนัด ดังนั้นพวกเขาจะรู้สึกกดดันทั้งในเรื่องของเนื้องานที่ต้องมาเรียนรู้ใหม่

Continue reading

PDPA ฉบับเข้าใจง่าย เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร?

PDPA ฉบับเข้าใจง่าย เกี่ยวข้องกับเราอย่างไร? เริ่มต้นที่ PDPA คืออะไร? ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งค่อนข้างจะละเอียดอ่อน เรามาทำความเข้าใจกันแบบคร่าว ๆ ก่อนว่าเจ้า พ.ร.บ. การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ปี 2562 หรือ PDPA (Personal Data Protection Act) นั้นคืออะไร? และทำมาเพื่อบังคับใช้กับคนกลุ่มไหนเป็นหลัก หัวใจสำคัญของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล PDPA ฉบับนี้ ทำมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ผู้บริโภคหรือประชาชนเป็นสำคัญ เน้นควบคุมหน่วยงานรัฐหรือองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ ที่จัดเก็บข้อมูลของเราไว้เป็นจำนวนมาก หลังจากนี้หน่วยงานไหนที่นำข้อมูลของเราไปใช้ เปิดเผย และ/หรือ โอนข้อมูลส่วนบุคคลนั้น ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน รวมถึงการจัดเก็บข้อมูลและนำไปใช้โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ และไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย PDPA เป็นประโยชน์ต่อใคร? จากข้อมูลด้านบน จะเห็นได้ว่าตัวกฎหมาย PDPA มาเพื่อแก้ปัญหาเรื่องการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยเฉพาะ บนโลกกลม ๆ ที่เต็มไปด้วย Data มหาศาล ทุกข้อมูลส่วนตัวของเราที่แต่ละบริษัทได้ไปนั้น ล้วนแล้วแต่มีมูลค่าในเชิง Marketing เป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการนำไปวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปสู่ผลประโยชน์ทางการค้า หรือนำข้อมูลของเราไปเพิ่มมูลค่าให้กลุ่มนายทุน ด้วยการซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนกันในตลาด ในทางกลับกัน สิ่งที่ประชาชนที่ตาดำ

Continue reading

เคล็ดลับทำให้ ก้าวหน้าในอาชีพการงาน

สำหรับชีวิตการทำงานแล้ว ไม่ว่าใครก็คาดหวังว่าอาชีพการงานของตนเองจะก้าวหน้าและมั่นคงกันทั้งนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วมีคนส่วนมากที่ติดอยู่กับตำแหน่งหน้าที่เดิม ๆ เป็นระยะเวลานานหรืออาจหลุดจากตำแหน่งโดยไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันก็มีคนที่ก้าวหน้าอย่างพรวดพราดจึงเกิดเป็นข้อสงสัยที่ว่าอะไรคือความแตกต่างกันระหว่างคน 2 กลุ่มนี้และอะไรเป็นปัจจัยที่นำคนเหล่านั้นไปสู่ความสำเร็จได้ หากคุณมีความสงสัยในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน วันนี้มีคำตอบมาฝากกัน ถือเป็นเคล็ดลับง่าย ๆ ทำให้ ก้าวหน้าในอาชีพการงาน เลยทีเดียว ขั้นแรก ตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นสิ่งจำเป็นที่คนส่วนใหญ่มองข้าม การทำงานโดยที่ไม่มีเป้าหมายไม่ต่างจากการทำงานเรื่อยเปื่อยไปวัน ๆ ทำตามที่ผู้ว่าจ้างบอกให้ทำโดยไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ การวางเป้าหมายหมายถึงการตั้งเป้าเอาไว้ว่าในระยะสั้นเราต้องการอะไรและในระยะยาวเราต้องการอะไร เป็นทั้งเป้าหมายใหม่ ใหญ่ หรือเล็กในชีวิต เมื่อบรรลุเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งก็ให้รางวัลกับตัวเอง เพื่อเป็นกำลังใจในการก้าวสู่เป้าหมายต่อไป เป้าหมายจะสร้างกำลังใจและแรงผลักดันในเชิงบวกกับการทำงาน คิดให้รอบด้าน วางแผนให้รอบคอบ หลังจากวางเป้าหมายเรียบร้อยแล้วก็ควรวางแผนสำหรับเป้าหมายนั้น ๆ เอาไว้ด้วย ไม่ควรทำอะไรโดยไม่มีแผน เพราะเมื่อดำเนินการไปได้ครึ่งทางแล้ว คุณอาจพบว่าตนเองกำลังไปผิดทางโดยไม่รู้ตัว กลับกลายเป็นเรื่องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ พิจารณางาน-เป้าหมายที่ตนต้องการให้ดี มีวิธีการหรือกลยุทธ์อะไรบ้างเพื่อให้บรรลุตามจุดประสงค์ จะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไร หากมีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า การดำเนินงานก็สามารถเป็นไปได้อย่างราบรื่น เพราะสามารถคาดการณ์ถึงปัญหาเอาไว้ได้ล่วงหน้า จึงสามารถหาวิธีป้องกันและแก้ไขได้ทันท่วงที การทำงานเองก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย เปิดหูเปิดตา หาความรู้ใหม่ ๆ ส่วนสุดท้ายสำหรับเคล็ดลับ 3 ข้อ นับเป็นข้อที่สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะการหาความรู้ใหม่ ๆ เป็นเรื่องจำเป็นมากในสภาวะที่โลกของเราหมุนเร็วขึ้นทุกวัน ๆ การเปิดหูเปิดตาหาความรู้เป็นการเสริมสร้างทั้งความรู้ ความเข้าใจในความเป็นไปของสังคม พร้อมกับการเพิ่มเติมทักษะต่าง ๆ

Continue reading

วิธีในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

วิธีในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ‍ ประสิทธิภาพในการทำงานที่หลาย ๆ คนพูดถึงคือ การวัดว่าเราสามารถทำงานได้ดีและถูกต้องด้วยวิธีที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ และงานที่ทำนั้นตรงตามเป้าหมายของทั้งบริษัทและตัวเอง ซึ่งต้องคำนึงถึงทั้ง Input ที่เราใส่เข้าไปในงานอย่างเวลาและพลังงาน (หรือวัตถุดิบที่ใช้ผลิตถ้ามองในมุมอุตสาหกรรม) และ Output หรือผลลัพธ์ที่ได้ว่ามีปริมาณและคุณภาพมากขนาดไหน ซึ่งเป้าหมายของการทำงานที่นับว่ามีประสิทธิภาพมากที่สุดวัดได้จาก – ใช้เวลาน้อยที่สุด – สูญเสียพลังงานน้อยที่สุด – ผลลัพธ์ที่ได้มีคุณภาพและปริมาณสูงที่สุด การพัฒนาประสิทธิภาพในการทำงานจึงโฟกัสไปที่การทำงานให้เร็วขึ้น มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น และผลลัพธ์ทำให้เกิดความพึงพอใจมากขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว งานที่แตกต่างกันก็มีข้อจำกัดต่างกัน โดยเฉพาะเรื่องเวลา ยกตัวอย่างเช่น พนักงานออฟฟิศที่มีช่วงเวลาทำงานตายตัว กับ ฟรีแลนซ์ที่บริหารเวลาทำงานเองทั้งหมด สิ่งสำคัญจึงเป็นการปรับวิธีการทำงานของตัวเองและเรียนรู้เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง ในบทความนี้ เราเลยขอแนะนำ 5 วิธีในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร ที่ไหน และด้วยเวลาแบบตายตัวหรือไม่ก็ตาม 1. เริ่มวางแผนตารางเวลา เมื่อได้รับงานมาทั้งงานแบบระยะสั้นและระยะยาว สิ่งแรกที่ควรทำคือ การจัดตารางงานโดยการแบ่งงานและจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้การทำงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และส่งผลต่อเป้าหมายของคุณและบริษัท การจัดลำดับความสำคัญ วิธีการจัดลำดับความสำคัญของงานนั้นมีหลากหลายแบบ แต่โมเดลที่คนนิยมใช้คือ Eisenhower Matrix หรือเจ้า Urgent-Important Matrix ซึ่งแบ่งงานออกเป็น 4 ส่วนตามลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนดังภาพ จะเห็นได้ว่างานแต่ละงานมีความสำคัญไม่เท่ากัน และมันส่งผลกับชีวิตคุณไม่เท่ากันด้วย

Continue reading

Optimistic HR Recruitment Co., Ltd.

27 Soi Somdejprachaotaksin 14
Bukkalo Thonburi 10600
TAX ID: 0105552066498

© Copyright
All Right Reserved
[email protected]
092-991-6251
02-466-5688
www.optimistic.com | @optimistichr