เมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น…จะบริหารค่าตอบแทนให้พนักงานอย่างไร
อัตรเงินเฟ้อทำให้อัตราค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้น สินค้าจากต่างประเทศขึ้นราคาไม่หยุดหย่อน ทั้งน้ำมัน พลังงาน วัตถุดิบประกอบอาหาร หรือแม้แต่ไข่ไก่ ที่เป็นเมนูหลักของคนทั่วไป ก็ยังขึ้นราคา ทุกอย่างแพงขึ้น ในขณะที่เงินเดือนพนักงานเท่าเดิม…อะไรบ้างที่ผู้ประกอบการพอจะช่วยเหลือพนักงานผู้เป็นทรัพยากรหลักที่สำคัญขององค์กรได้
.
พนักงานหลายคนก็คงพยายามหาวิธีในการปรับตัวแล้ว แต่ก็ยังใช้เงินแบบเดือนชนเดือน เรียกได้ว่า หากเงินเดือนออกช้าไปเพียง 2 วัน อาจทำให้ใช้ชีวิตติดขัดได้เลย การบริหารค่าตอบแทนให้พนักงานในช่วงค่าครองชีพสูงแบบนี้มีหลายวิธี แต่ละองค์กรต้องพิจารณาและวางแผนว่าวิธีใดเหมาะสมมากที่สุด
.
1. ปรับฐานเงินเดือนพนักงาน
การปรับฐานเงินเดือนพนักงานให้สูงขึ้น อาจต้องกำหนดว่า พนักงานกลุ่มไหนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพสูงมากที่สุด ก็อาจจะปรับให้เฉพาะกลุ่มนั้นก่อน จากการสำรวจของบริษัท Think People Consulting ที่ปรึกษาด้านการบริหารค่าจ้างเงินเดือน พบว่า กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากที่สุดก็คือ กลุ่มผู้ใช้แรงงาน และกลุ่มพนักงานจบใหม่ ที่เงินเดือนไม่ถึง 20,000 บาท
.
วิธีนี้ทำได้ง่าย เราสามารถกำหนดอัตราปรับให้เท่ากันทุกคนก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องคำนึงก็คือ การเพิ่มต้นทุนคงที่ในเรื่องเงินเดือนพนักงานขององค์กร คงต้องพิจารณาว่า เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นให้นี้จะไปกระทบกับอะไรบ้าง เช่น เงินสมทบประกันสังคม สมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การขึ้นเงินเดือนในปีถัดไป โบนัสตามผลงาน ฯลฯ
.
2. เพิ่มเงินค่าครองชีพอีกก้อนหนึ่งแยกจากเงินเดือน
เป็นอีกวิธีที่มีหลายบริษัททำกัน เราสามารถกำหนดเงินค่าครองชีพเพิ่มเติมให้กับพนักงาน โดยให้ทุกคนเท่ากัน และให้ประจำทุกเดือนไปเลย แยกจากเงินเดือนประจำ วิธีนี้ก็จะทำให้ฐานเงินเดือนพนักงานไม่สูงขึ้น ซี่งไม่ส่งผลกระทบต่อการบริหารค่าตอบแทนในด้านอื่น ๆ แต่ก็คงต้องพิจารณาอัตราค่าครองชีพที่ให้ และงบประมาณในภาพรวมว่าองค์กรจะต้องเพิ่มงบประมาณในส่วนนี้อีกเท่าไหร่
.
3. เพิ่มเงินค่าครองชีพ แต่ให้ชั่วคราว
เป็นการแก้ไขปัญหาในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ดีอีกวิธีหนึ่ง ในกรณีที่เรามั่นใจว่าค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เป็นการชั่วคราว จากนั้นก็น่าจะลดลงบ้างเล็กน้อย ดังนั้นในช่วงระยะเวลาที่ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้นมาก ๆ บริษัทก็สามารถให้เงินช่วยเหลือแก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบ
.
แต่เมื่อเป็นการให้ชั่วคราว บริษัทจะต้องเขียนข้อกำหนดในเรื่องนี้อย่างชัดเจน เช่น ให้ในอัตราเท่าไหร่ และจากเมื่อไหร่ถึงเมื่อไหร่ สิ้นสุดระยะเวลาแล้ว ก็จะไม่ให้เงินก้อนนี้ต่อไป ดังนั้นเงินก้อนนี้ก็จะไม่ถือเป็นค่าจ้าง แต่เป็นเงินช่วยเหลือ คล้าย ๆ สวัสดิการพนักงานเท่านั้น
.
บริษัทสามารถที่จะช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นของพนักงานได้ ในกรณีที่เราพอจะมีงบประมาณในการนี้ อย่างน้อยก็ทำให้พนักงานเกิดความสะดวกในการมาทำงานมากขึ้น เพราะเราอาจจะสูญเสียคนเก่ง ๆ ไป เนื่องจากคนเหล่านี้ก็จะหางานใหม่ ที่มีเงินเดือนสูงกว่าเดิม ถ้าเขาเดือดร้อนจริง ๆ และไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ จากบริษัทเลย
.
Reference :
Related Content :