เมื่อ Gen Z กำลังครองตลาดแรงงาน องค์กรต้องรับมืออย่างไรให้ไปกันรอด…
ยุคของ Gen Z เด็กรุ่นใหม่ ไฟแรง แซงทุกโค้ง กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร (และอาจเป็นส่วนใหญ่ในอนาคต) องค์กรที่ยังคุ้นเคยกับการทำงานกันแบบเดิม ๆ ความคิดเดิม ๆ วิธีการเดิม ๆ อาจจะไม่ทันใจวัยรุ่น Gen Z สักเท่าไร แต่หากจะปฏิเสธไม่ร่วมงานกับเด็กรุ่นนี้ ก็คงไม่มีความคิดใหม่ ๆ ไอเดียเจ๋ง ๆ มาขับเคลื่อนองค์กร ทำให้ต้องย่ำอยู่กับที่เป็นแน่ แถมตลาดแรงงานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็เต็มไปด้วยเด็กรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่าก็ตบเท้ารอเกษียณ แล้วองค์กรจะทำอย่างไร หากต้องปรับตัวเพื่อรองรับความไฟแรงของวัยรุ่น Gen Z ที่จะทำให้พวกเขาแสดงศักยภาพที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กร โดยไม่ทำให้เหล่าผู้อาวุโสที่อยู่มาก่อนเกิด Culture Shock และองค์กรยังคงรักษาเด็ก ๆ Gen Z ให้ทำงานกันไปยาว ๆ ได้…
.
Gen Z คือ คำนิยามของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงคนที่เกิดหลังจากปี ค.ศ. 1995 หรือปี พ.ศ. 2538 เป็นต้นมา เด็กกลุ่มนี้เติบโตมากับความสะดวกสบาย โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้เร็ว ปรับตัวเข้ากับสังคมง่าย ใช้เวลาส่วนมากอยู่บนโลกออนไลน์ และมีความมั่นใจสูง จะไม่ค่อยเชื่ออะไรง่าย ๆ ต้องหาข้อมูลและพิจารณาก่อน
.
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาที่เด็ก Gen Z ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน องค์กรหลายแห่งเปิดรับเด็ก Gen Z เข้ามาร่วมงานด้วย บางองค์กรที่เป็น Start-Up ใช้วิธีการทำงานแบบ Based on Results ก็คงไม่มีปัญหากับการปรับตัวทำงานกับคนรุ่นใหม่มากนัก แต่ก็ยังมีองค์กรไม่น้อยที่เกิดปัญหาต่าง ๆ ที่เป็นส่วนทำให้องค์กร กับ เด็ก Gen Z ไปต่อด้วยกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องของวิธีการทำงานแบบเดิม ๆ ขั้นตอนเยอะ หัวหน้างานที่คอยจับจ้องตลอดเวลา ข้อบังคับและกฎระเบียบขององค์กรที่เข้มงวดเกินไป หรือแม้แต่วัฒนธรรมองค์กรที่ต้องเคารพผู้อาวุโสเสียจนตัวเองนั้นโดนเอาเปรียบ ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา องค์กรใหญ่ ๆ ส่วนหนึ่งต้องเสียบุคลากร Gen Z ไปให้กับองค์กรเล็ก ๆ หรือองค์กร Start-Up ที่มีบุคลากรรุ่นราวคราวเดียวกัน มีวัฒนธรรมที่เข้ากันได้ และสบายใจที่จะทำงาน ถึงแม้ตัวเงินและสวัสดิการที่ได้รับจะสู้องค์กรใหญ่ ๆ แนวหน้าของประเทศไม่ได้ด้วยซ้ำ
.
ในฝั่งของบุคลากรอาวุโสที่อยู่มาก่อน (ส่วนมากจะเป็นพวก Gen Y Gen X และอาจมีรุ่น Baby Boomer ที่อาวุโสสุด ๆ) เคยปฏิบัติแบบเดิมมาก็ไม่มีปัญหาอะไร วันหนึ่งมีเด็กรุ่นใหม่เข้ามา เสนอความคิดอยากให้ปรับตรงนั้นสิ ลองทำแบบนี้สิ “ฉันทำของฉันมาแบบนี้ เรื่องอะไรจะให้มาเปลี่ยน” “ไม่เอาหรอก วุ่นวาย” ความคิดแรกที่เกิดขึ้นคงไม่พ้นคำพูดในประโยคเหล่านี้ แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่คิด แต่ต้องมีแน่ ๆ…เริ่มเห็นแล้วใช่ไหมคะว่า ความคิดและไอเดียของเด็กรุ่นใหม่อาจทำให้เกิดการต่อต้านจากคนรุ่นเก่า ทำให้เด็กรุ่นใหม่อึดอัด ไม่กล้าออกความคิดเห็น ไม่กล้าเปลี่ยนแปลง และคิดว่าตัวเองไม่มีอิสระทำในสิ่งที่อยากทำ บางครั้งไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่รวมถึงการใช้ชีวิตในที่ทำงาน ไลฟ์สไตล์ กิริยาท่าทาง การแสดงออก คำพูด และการแต่งตัวที่แตกต่างกัน เป็น Culture (ของเด็ก Gen Z) ที่ทำให้เหล่าผู้อาวุโส Shock (ในความกล้าและมั่นใจนี้) เมื่อเด็กบางคนที่รับรู้และตกผลึกได้ว่า “เอาหละ…องค์กรนี้ไม่เหมาะกับฉัน ขอบายดีกว่า” เป็นเหตุให้องค์กรต้องสูญเสียบุคลากรที่จะเข้ามาช่วยเปลี่ยนองค์กรให้ทันยุคทันสมัยจากวัฒนธรรมที่เข้ากันไม่ได้ของคนหลาย Generations
.
แล้วองค์กรจะต้องแคร์อะไร ? ที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับเด็ก Gen Z ทั้ง ๆ ที่องค์กรก็มีบุคลากรเก่ง ๆ ที่ทำงานให้อยู่แล้ว…
ก็เพราะว่าบุคลากรเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่ตลอดไปไงหละคะ วันหนึ่งคนเหล่านี้ก็ต้องมีการเปลี่ยนงาน เกษียณอายุงาน หรือเลิกทำงาน องค์กรต้องรับคนใหม่เข้ามาเพิ่มในอนาคต และคนเหล่านั้นก็ไม่พ้นคน Gen Z ที่มีความคิด มีวัฒนธรรมแบบคนรุ่นใหม่ หากองค์กรยังไม่ปรับหรือเปิดรับ Culture ของคนเหล่านี้ให้ได้ ก็คงยากที่จะได้บุคลากรที่อยู่กับองค์กรไปยาว ๆ มาแป๊บ ๆ ก็ไปกันหมดแล้ว ต่อให้องค์กรใหญ่ แต่ต้องตอกบัตร/สแกนนิ้วเข้างานตรงเวลา ใส่สูทผูกไทด์มาทำงาน หรือบังคับให้ทำงาน On-Site เท่านั้น (ในยุคโควิด) แม้จะเสนอเงินมากกว่า แต่ ‘เงิน’ ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดที่คน Gen Z จะพิจารณา หากเป็นองค์กรเล็ก ๆ เสนอเงินให้น้อยกว่า แต่พนักงานอายุใกล้ ๆ กัน ทำงานกันแบบ Hybrid : Work from Anywhere ใส่กางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบมาทำงานได้ตามสบาย ความสบายกายสบายใจตรงนี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจของคน Gen Z
.
แล้วจะทำอย่างไร ให้คน Gen Z กับองค์กร อยู่กันไปได้ยาววว ยาววววว
.
‘เงิน’ ไม่ใช่ส่วนที่ดึงดูดใจอีกต่อไป
เงิน หรือ ค่าตอบแทนที่สูงเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถดึงดูดคน Gen Z ได้ “Work Life Balance” ต่างหากที่จะซื้อใจพวกเขาได้ ความยืดหยุ่นในการทำงานถือเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่โหยหา เมื่อเวลางานจงทำงานอย่างเต็มที่ แต่เมื่อหมดเวลางานหรืออยู่ในช่วงวันหยุด หากไม่ใช่งานด่วน ก็คงไม่มีใครอยากตอบข้อความหรือขลุกอยู่กับงานจนไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น จริงไหม?
.
การทำงาน ไม่ใช่แค่ Laptop กับ คอกสี่เหลี่ยม
คงจะน่าเบื่อ หากโต๊ะทำงานตั้งอยู่ในคอกที่ดูน่าอึดอัด ลองปรับเปลี่ยนให้มี Co-Working Space มุมทำงานที่ใคร ๆ ก็สามารถมานั่งทำงานได้ การที่พนักงานได้พบปะพูดคุยกันไม่ว่าจะส่วนงานเดียวกันหรือข้ามแผนก อาจะทำให้พนักงานได้พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด หรือ คลายความเครียดให้พนักงานได้ ยิ่งไปกว่านั้น หากองค์กรสามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์กรแบบ Digital พนักงานสามารถทำงานผ่านระบบออนไลน์ Work from Anywhere ได้ คงจะถูกใจชาว Gen Z ไม่น้อย นอกจากจะไม่ต้องฝ่ารถติดในตอนเช้าและเย็น ยังสามารถทำงานไป มองชายหาดหรือภูเขาไป เพิ่ม inspiration และลดความเครียดได้อีกด้วย
.
Gen Z ไฟแรง อยากลองอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ลองอะไรใหม่ ๆ ไม่ได้หมายความว่า จะเปลี่ยนงานใหม่ ชาว Gen Z ชอบเรียนรู้ ไม่ชอบหยุดนิ่งอยู่กับที่เพราะโตมากับเทคโนโลยี และเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ องค์กรลองสนับสนุนคอร์สเรียนที่น่าสนใจ หรือ Work shop ที่จะช่วยพัฒนาทักษะของพนักงาน
.
Gen ต่างกัน ก็คุยกันได้
ปัญหาความแตกต่างทางความคิดและวัฒนธรรมของแต่ละ Generation อาจเป็นปัญหาที่กระทบความสัมพันธ์ของพนักงาน แต่ใช่ว่าปัญหานี้จะไม่มีทางแก้ไข ปัญหานี้เป็นสิ่งที่องค์กรต้องจัดการให้ดี เช่น จัดกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์กัน เปิดโอกาสให้พูดคุย เรียนรู้และสนับสนุนข้อดีของแต่ละ Gen หรือเมื่อเกิดปัญหาจะไม่นำเรื่องของ อายุ หรือความอาวุโส มาเป็นตัวติดสิน คุยกันด้วยเหตุและผล ยิ่งองค์กรพยายามนำวิธีการทำงานแบบ Agile มาปรับใช้ นอกจากจะให้อิสระในการทำงานแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างการสื่อสารระหว่างคนในองค์กรได้ด้วย
.
หากองค์กรเข้าใจในยุคสมัย พร้อมทั้งหาแนวทางปรับปรุงและปรับตัวให้เข้ากับ Gen Z ก็เตรียมตัวอ้าแขนรับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ไฟแรง พาองค์กรแซงทุกโค้งได้เลยค่ะ
.
References :
https://www.kasikornresearch.com/th/analysis/k-social-media/Pages/Gen-Z-11-08-21.aspx
https://th.jobsdb.com/th-th/articles/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B9%8C-gen-z/
https://www.bangkokbiznews.com/blogs/columnist/126452
https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/6-techneques-to-approach-gen-z
Related Content :
